เวลาก็ได่ลุล่วงมาจนบ่ายคล้อย ในเมื่อตามหาเรื่องราวเขาเล่าว่า ผ้าผิวสวย เรียบร้อยดีงาม ได้ฟัง ได้เรียนรู้ ได้ดู ได้ทำ และได้ผ้าครามถูกใจแล้ว
เราไปชิลกันต่อได้อีกกับ Unseen เมืองสกล ที่พลาดไม่ได้เลยนะ นั่นก็คือเมืองเก่าท่าแร่ ชุมชนที่มีชาวคริสต์อยู่รวมกันมากที่สุดในประเทศไทย จุดแรกในชุมชนท่าแร่ ที่เรามาชมก็คือ อาสนวิหารอัครเทวดามิคาแอล เป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ แทนโบสถ์เก่าที่มีการปรับเปลี่ยนมาหลายครั้ง โบสถ์หลังนี้มีขนาดใหญ่และสวยงามมากทั้งด้านนอกและด้านใน
ลักษณะที่โดดเด่นไม่เหมือนใครของอาสนวิหารแห่งนี้คือการสร้างเป็นรูปเรือ เพื่อเป็นที่ระลึกถึงการใช้เรือและแพในการอพยพของชาวคริสต์จากตัวเมืองสกลนครมายังท่าแร่แห่งนี้ เมื่อ 132 ปีก่อน หรือ พ.ศ. 2427 ในสมัยนั้นมีความไม่เข้าใจเกี่ยวกับการนับถือศาสนาคริสต์ รวมทั้งกรณีมีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ทำให้ผู้นับถือคริสต์ ต้องอพยพจากตัวเมืองสกลนคร ด้วยการต่อแพและใช้ผ้าห่มแทนใบเรือ ล่องข้ามบึงขนาดใหญ่ซึ่งก็คือหนองหาน โดยอธิษฐานให้แพไปขึ้นฝั่งที่ไหนก็ได้ตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า จนมาขึ้นฝั่งที่ท่าแร่ เป็นป่าขึ้นอยู่บนดินลูกรัง หรือเรียกว่าหินแฮ่ เดิมทีจึงเรียกที่นี่ว่า ท่าแฮ่ ก่อนจะเพื้ยนมาเป็นท่าแร่ดังในปัจจุบัน ระยะเวลาร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ชาวท่าแร่มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นจากประมาณ 150 คน มาเป็นกว่าหมื่นคน ชาวบ้าน 91% นับถือศาสนาคริสต์อย่างเหนียวแน่นไม่เปลี่ยนแปลง ชุมชนท่าแรจึงได้ชื่อว่าเป็นชุมชนชาวคริสต์ที่อยู่รวมกันมากที่สุดในประเทศไทย